เด็กที่มีความต้องการพิเศษ
แพทย์ เรียกว่า เด็กพิการ เพราะจะใช้บำบัด
เด็กที่มีความผิดปกติ มีความบกพร่อง สูญเสียสมรรถภาพทางร่างกาย สติปัญญาและจิตใจ
ทางการศึกษา เด็กที่ได้รับการศึกษาเฉพาะและเหมาะสมกับเขา
สรุป เด็กพิเศษ
- เด็กที่ไม่สามารถพัฒนาตนเองได้เท่าที่ควรจากการให้ความช่วยเหลือ
-เด็กจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น ช่วยเหลือ บำบัดและฟื้นฟู
-มีการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่
1.เด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง เรียกว่าเด็กปัญญาเลิศ ( มี IQ 120 ขึ้นไป)
2.เด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง กระทรวงศึกษาธิการแบ่งออกเป็น 9 ประเภท
1.เด็กบกพร่องทางสติปัญญา
2.เด็กบกพร่องการได้ยิน
3.เด็กบกพร่องทางการเห็น
4.เด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5.เด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
6.เด็กบกพร่องทางด้านพฤติกรรมและอารมณ์
7.เด็กที่มีปัญหาด้านการเรียน
8.เด็กออทิสติก
9.เด็กพิการซ้อน
1.เด็กบกพร่องทางสติปัญญา คือ เด็กที่มี IQ ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน มี 2 กลุ่ม
1.1 เด็กเรียนช้า
-มีการเรียนที่ช้ากว่าปกติ
-ขาดทักาะในการเรียนรู้
-มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
-มี IQ 70-90
สาเหตุของการเรียนช้า
ภายนอก
-ฐานะครอบครัว
-การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
-สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
ภายใน
-การเจ็บป่วย
1.2เด็กปัญญาอ่อน
-มีพัฒนาการล่าช้า
-ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่่่งแวดล้อมได้
-เด็กที่มีพัฒนาการหยุดชะงัก
-มีความสามารถในการเรียนรู้น้อย
แบ่งออกเป็น 4 ประเภท
1.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20 ไม่สามารถเรียนได้เลย ต้องการเฉพาะการดูแลจากพยาบาลเท่านั้น
2.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34 ต้องการเฉพาะการฝึกหัดช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันง่ายๆ
3.เด็กปัญญาอ่อนปานกลาง IQ 35-49 สามารถฝึกทำงานง่ายๆได้ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียด
4.เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70 เรียนระดับประถมศึกษาได้และฝึกอาชีพง่ายๆได้
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
-ไม่พูด
-ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
-ช่วยเหลือตนเองได้น้อย
2.เด็กบกพร่องทางการได้ยิน มีปัญหาในการรับฟังได้ไม่ชัดเจน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
2.1 เด็กหูตึง สามารถใช้เครื่องช่วยฟังได้ จำแนกออกเป็น 4 กลุ่ม
-หูตึงระดับน้อย ได้ยินระหว่าง 26-40 dB
-หูตึงระดับปานกลาง ได้ยินระหว่าง 41-55 dB
-หูตึงระดับมาก ได้ยินระหว่าง 56-70 dB
-หูตึงระดับรุนแรง ได้ยินระหว่าง 71-90 dB
2.2 เด็กหูหนวก เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้เลย ระดับการได้ยิน 91 dB ขึ้นไป
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
-ไม่ตอบสนองเสียงพูด
-รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน
3.เด็กบกพร่องทางการเห็น จำแนกได้ 2 ประเภท ตาบอดและตาบอดที่ไม่สนิท
3.1 ตาบอด
-เด็กที่มองไม่เห็นเลย
-มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
3.2 ตาบอดไม่สนิท
-สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
-มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
ลักษณะของเด้กบกพร่องทางการมองเห็น
-เดินงุ่มง่าม ชนวัตถุ
-เห็นสีผิดไปจากปกติ
-มักบ่นว่าปวดศีรษะ
-ก้มศีรษะติดกับงาน
- เด็กที่ไม่สามารถพัฒนาตนเองได้เท่าที่ควรจากการให้ความช่วยเหลือ
-เด็กจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น ช่วยเหลือ บำบัดและฟื้นฟู
-มีการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่
1.เด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง เรียกว่าเด็กปัญญาเลิศ ( มี IQ 120 ขึ้นไป)
2.เด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง กระทรวงศึกษาธิการแบ่งออกเป็น 9 ประเภท
1.เด็กบกพร่องทางสติปัญญา
2.เด็กบกพร่องการได้ยิน
3.เด็กบกพร่องทางการเห็น
4.เด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5.เด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
6.เด็กบกพร่องทางด้านพฤติกรรมและอารมณ์
7.เด็กที่มีปัญหาด้านการเรียน
8.เด็กออทิสติก
9.เด็กพิการซ้อน
1.เด็กบกพร่องทางสติปัญญา คือ เด็กที่มี IQ ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน มี 2 กลุ่ม
1.1 เด็กเรียนช้า
-มีการเรียนที่ช้ากว่าปกติ
-ขาดทักาะในการเรียนรู้
-มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
-มี IQ 70-90
สาเหตุของการเรียนช้า
ภายนอก
-ฐานะครอบครัว
-การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
-สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
ภายใน
-การเจ็บป่วย
1.2เด็กปัญญาอ่อน
-มีพัฒนาการล่าช้า
-ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่่่งแวดล้อมได้
-เด็กที่มีพัฒนาการหยุดชะงัก
-มีความสามารถในการเรียนรู้น้อย
แบ่งออกเป็น 4 ประเภท
1.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20 ไม่สามารถเรียนได้เลย ต้องการเฉพาะการดูแลจากพยาบาลเท่านั้น
2.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34 ต้องการเฉพาะการฝึกหัดช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันง่ายๆ
3.เด็กปัญญาอ่อนปานกลาง IQ 35-49 สามารถฝึกทำงานง่ายๆได้ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียด
4.เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70 เรียนระดับประถมศึกษาได้และฝึกอาชีพง่ายๆได้
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
-ไม่พูด
-ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
-ช่วยเหลือตนเองได้น้อย
2.เด็กบกพร่องทางการได้ยิน มีปัญหาในการรับฟังได้ไม่ชัดเจน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
2.1 เด็กหูตึง สามารถใช้เครื่องช่วยฟังได้ จำแนกออกเป็น 4 กลุ่ม
-หูตึงระดับน้อย ได้ยินระหว่าง 26-40 dB
-หูตึงระดับปานกลาง ได้ยินระหว่าง 41-55 dB
-หูตึงระดับมาก ได้ยินระหว่าง 56-70 dB
-หูตึงระดับรุนแรง ได้ยินระหว่าง 71-90 dB
2.2 เด็กหูหนวก เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้เลย ระดับการได้ยิน 91 dB ขึ้นไป
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
-ไม่ตอบสนองเสียงพูด
-รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน
3.เด็กบกพร่องทางการเห็น จำแนกได้ 2 ประเภท ตาบอดและตาบอดที่ไม่สนิท
3.1 ตาบอด
-เด็กที่มองไม่เห็นเลย
-มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
3.2 ตาบอดไม่สนิท
-สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
-มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
ลักษณะของเด้กบกพร่องทางการมองเห็น
-เดินงุ่มง่าม ชนวัตถุ
-เห็นสีผิดไปจากปกติ
-มักบ่นว่าปวดศีรษะ
-ก้มศีรษะติดกับงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น